วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

BUDDHA TOW PHYSIC POLITIC - พุทธ เต๋า ฟิสิกส์ การเมือง กับความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง

ทำความเข้าใจกับหลักของพุทธ เต๋า และฟิสิกส์
ฟิสิกส์กับเต๋า สองชื่อนี้อาจเข้าใจกันยากสักหน่อย และดูไม่เหมือนเลยว่าจะไปด้วยกันได้
            ถ้าขยายความว่า ฟิสิกส์ เต๋า พุทธ การเมือง ทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน ส่วนหนึ่งเป็นหลักแห่งความรู้ทั้งปวงพร้อมกับมีหลักธรรมกำกับ โดยอีกส่วนหนึ่งใช้หลักรัฐศาสตร์ในการปกครองและจะต้องมีหลักธรรมผูกรัดเอาไว้ ก็อาจจะพอเข้าใจคร่าวๆได้มากขึ้น

การเมืองต้องมีธรรมะกำกับ
            การเมืองการปกครองและการใช้อำนาจในการบริหารนั้น จำเป็นจะต้องมีหลักธรรมะในการกำกับผูกรัดไว้ มิฉะนั้นจะกลายเป็นการเมืองเลว การเมืองร้ายไปได้
            การเมืองที่บ่งชี้ในหลักว่าเป็นประชาธิปไตย มิใช่ว่าจะต้องฟังแต่มติแห่งเสียงข้างมากหรือเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องใช้หลักธรรม คุณธรรมกำกับไว้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและมีความถูกต้องเหมาะสมด้วย เพราะถ้าหากว่าเสียงส่วนใหญ่ของคนในสังคมนั้นเป็นผู้ที่ชอบประพฤติผิดศีลธรรม เต็มพร้อมไปด้วยความต้องการ ความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยราคะ โทสะ กิเลส ตัณหา ชอบเบียดเบียนผู้อื่น นั่นก็จะทำให้เกิดอยุติธรรม และอธรรมะก็จะครอบงำสังคม ในที่สุดสันติสุขก็จะไม่บังเกิดขึ้น

คนรุ่นใหม่ไม่สนใจ(เชื่อ)ในหลักพุทธ และเต๋า 
             ในปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมา เราจะพบได้ว่าบางคนและอีกหลายๆคนปฏิเสธปรัชญาของเต๋า และไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนแห่งพุทธสักเท่าไหร่ เมื่อไม่ใส่ใจ ตัว Mind คือความคิด การใช้วิจารณญาณของเขาย่อมไม่เป็นเหตุแห่งกุศล ความคิดเหล่านั้นย่อมเตลิดไปตาม ความโล๓ ความโกรธ ความหลง และใช้ความชอบพอหรือเกลียดชังเป็นที่ตั้ง มีความยึดมั่นถือมั่น นี่ของกู นี่ทรัพย์กู นั่นพวกมึง นั่นมึงทำไม่ถูกต้อง ฯลฯ ด้วยเหตุฉะนี้เมื่อคนเหล่านี้ได้เข้าไปทำงานการเมือง จึงมีแต่ความโลภ โกงบ้านโกงเมือง โกงชาวบ้านที่เลือกตนเองเข้ามา และโกงแม้กระทั่งผลประโยชน์ของพี่น้องร่วมชาติที่จะเป็นผู้ได้รับสิทธิ์เหล่านั้น

หลักแห่งฟิสิกส์     
                  อย่างไรก็ตามที ถึงแม้นว่าคนส่วนหนึ่งจะไม่เคยได้ศึกษาธรรมะเรื่องอนิจจลักษณ์ (คือความไม่เที่ยงแห่งรูปนาม) เลยก็ตามที แต่ก็คงจะเคยได้เรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่องอะตอม อิเลคตรอน กันมาบ้างในชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษา (ต้องขออภัยอย่างยิ่งสำหรับบางท่านที่ไม่เคยได้เรียนวิชาเหล่านี้ โปรดใช้วิจารณญาณและสติปัญญาตามสมควร-ผู้เรียบเรียง)
                 เมื่อครั้งที่ครูอาจารย์เคยได้สอนกันมาเกี่ยวกับวิชาวันตัมฟิสิกส์ เราอาจจะพอจะจำได้บ้างว่าฟิสิกส์ สอนให้เราได้รู้เหตุที่มา ว่าโลกนั้นเกิดจากอะไร นั่นคือหลักธรรมะเรื่องอนิจจลักษณ์ ซึ่งวิชาฟิสิกส์ทำให้เราพบได้ว่า
                 1.สสารทั่วๆไปเกิดจากอะตอม รวมตัวกันด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (electronmagnetism) เกิดเป็นโมเลกุล ซึ่งโมเลกุลจะประกอบตัวกันเป็นของแข็ง ของเหลว และก๊าซ และวัตถุที่มีขนาดใหญ่โตมากๆ ยังจะมีพลังแรงโน้มถ่วง (gravity) ดึงดูดกันไว้
                 2.อะตอมประกอบด้วย แกนนิวเคลียส ที่ล้อมรอบด้วยกลุ่มอิเลคตรอน แรงแม่เหล็กไฟฟ้าดึงดูดนิวเคลียสและอิเลคตรอนให้อยู่ด้วยกัน
                 3.นิวเคลียสประกอบขึ้นด้วยอนุภาคโปรตรอน และอนุภาคนิวตรอน ดึงดูดกันไว้ด้วยแรงที่เรียกว่า strong nuclear force
                 4.โปรตรอน และนิวตรอน ต่างประกอบด้วย ควอร์คส์ 3 ตัว ดึงดูดกันไว้ด้วยแรง string nuclear force
                 สรรพชีวิต-โลก-จักรวาล ล้วนแต่ประกอบขึ้นด้วยอนุภาคเหมือนๆกัน
                 ในอะตอม ยังมีอิเลคตรอน โปรตรอน นิวตรอน ภายในอนุภาคเหล่านี้ ก็ยังมีอนุภาคเล็กลงไปอีก เรียกว่า Quarks หรือควอร์คส์ เช่นในโปรตรอน และนิวตรอน จะมีควอร์คส์ อยู่ทั้งหมด 3 ตัวเหมือนกัน
                 ภายในควอร์คส์ก็ยังจะมีอะไรๆเล็กลงไปเรื่อยๆอีกไม่สิ้นสุด เหมือนๆกับจักรวาลที่เราไม่สามารถหาขอบเขตมิได้เช่นกัน
                 อนุภาคต่างๆประกอบตัวกันเข้าเป็นโมเลกุลของสารเคมีต่างๆ โมเลกุลของสารเคมีต่างๆ สลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสารอินทรีย์ แล้วจึงกำเนิดเป็นชีวิตในที่สุด
* มองในระดับชีววิทยา - ชีวิตคือกระบวนการทางสรีระวิทยา
* มองในระดับเคมี - ชีวิตคือกระบวนการทางสรีระวิทยา
* มองในระดับฟิสิกส์ - ชีวิตคือกระบวนการเคลื่อนไหวของอนุภาค ของสสารและพลังงาน

ชีวิตมิได้เกิดมาจาก GREAT SOUL ใดๆ


            ชีวิตมนุษย์นั้นมิได้เกิดมาจากเกรทโซลใดๆเลย เพียงแต่มนุษย์นั้นมี Mind ที่ยิ่งใหญ่และยังสลับซับซ้อนมากมาย มีความสามารถมากซึ่งจะคิดและจินตนาการได้อย่างมหัศจรรย์อย่างน่าเหลือเชื่อ คือไม่อาจจะประมาณได้ เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีคนบางคนหรือคนบางกลุ่มก็เลยไปยกผลแห่งความมหัศจรรย์นี้ไปให้กับ God (พระผู้เป็นเจ้า)ไปเสีย (ศาสนาบางศาสนายกความคิดของมนุษย์เป็นผลงานของพระเจ้า โดยอ้างว่าพระเจ้าดลใจให้คิดเช่นนั้น หากเป็นเช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่าศาสนาเหล่านี้มีหลักไม่ให้เชื่อถือพวกทรงเจ้าเข้าทรง แต่ทว่าตนเองสามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้เฉกเช่นเดียวกับพวกทรงเจ้าเข้าทรง เท่ากับว่าคำสั่งสอนแย้งกันเอง ลองตรองดูแล้วจะพบว่าศาสนาเหล่านี้หาความจริงมิได้-ผู้เรียบเรียง)

            แต่มนุษย์เองก็มีความหลงใหลในผัสสะมากด้วย มีสัญชาตญาณของสัตว์โลก ซึ่งถ้าไม่มีกรอบกฎเกณฑ์กำกับแล้ว สังคมมนุษย์จะดำรงอยู่ไม่ได้ มันจะอยู่กันอย่างฝูงสัตว์เดรัจฉาน
             ฟิสิกส์สอนให้เราได้รู้ว่า ไม่มีอะไรยั่งยืนเที่ยงแท้ สสารกับพลังงานแปรกลับไปกลับมา ชีวิตก็เป็นกระบวนการที่ต้องจบสิ้น คือมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับสลายตัวไป แปรรูปไปเป็นอย่างอื่น เมื่อเข้าใจในสรรพสิ่งตามที่พระพุทธศาสนาสอนไว้เฉกเช่นนี้แล้ว มันก็จะทำให้เรามีมุมมองและได้มองโลกนี้เป็นของธรรมดาไปหมด จะไปคดไปโกงอะไรๆของใครเขามาเป็นของๆตน สุดท้ายไม่เราก็สิ่งของนั้นก็จะหมดพันธนาการที่จะเป็นเจ้าของ ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป

" ฉะนั้นจะเลวไปทำไม จะชั่วไปทำไม จะคดโกงไปทำไม "

               การตามใจกิเลส คือตามใจความต้องการของตนเป็นหลัก แม้ดูเหมือนว่าน่าสนุกเพราะตนมีความสามารถที่จะไขว่คว้ามาก็ตาม แต่ที่แน่ๆสังคมไม่ยอมรับ ไม่มีใครเขายกย่องคนขี้คดขี้โกง เขาอาจจะมีเงินมีทองมากมายเก็บไว้ให้ลูกหลานก็จริง แต่สังคมเขาจะประณามเหยียดหยามว่าเป็นลูกหลานของคนคดคนโกง เป็นจัญไรของแผ่นดิน เหมือนกับอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งบัดนี้ต้องระหกระเหินไปอยู่ที่ต่างแดนเพราะความคดโกงเป็นเหตุ

                มีความคิดหนึ่งซึ่งอยากจะกล่าวว่า น่าจะสอนควันตัมฟิสิกส์ให้เหล่านักการเมืองได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเสียบ้าง เพราะว่าคนพวกนี้มันไม่ยอมรับรู้ไม่ยอมทำความเข้าใจไม่ทำการศึกษาปรัชญาของพุทธ เต๋า หรืออะไรๆเลยสักสิ่ง ฉะนั้นก็น่าจะลองเอาวิชาฟิสิกส์ไปยัดใส่สมองเสียบ้าง บางทีอาจจะได้มองเห็นสัจธรรมที่แท้จริงแล้วจะได้สังวรสักนิด ถ้าพวกนักการเมืองเหล่านี้มันยังไม่เข้าใจอีก คราวนี้เห็นทีต้อง "สีซอ" ให้พวกเขาฟังเสียแล้ว
        จบดีกว่า เอวัง kornsiam srirakij (ผู้เรียบเรียง)

หมายเหตุ : บทความนี้ข้าพเจ้าได้คัดกรองมาจากบทความในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับ วันเสาร์ ที่ 1 ธันวาคม 2555 คุณ ทองแถม นาถจำนง เป็นเจ้าของผลงานการเขียน ข้าพเจ้าได้คัดบทความมาแล้วนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ได้ขยามความในเนื้อหาที่มากขึ้น ข้าพเจ้าต้องกราบขอบพระคุณสำนักพิมพ์และเจ้าของผลงานการเขียนที่ได้ให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไป หากมีข้อผิดพลาดอันอาจจะตักเตือนได้ประการใด ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้ทั้งสิ้น 

** กรสยาม ศรีระกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น